ทำไมเด็กไทยไม่อ่านหนังสือ ?

ประเด็นแรก : การอ่านถูกมองว่าเป็นกิจกรรมหาความรู้ การอ่านจึงเป็นเรื่องเครียด ไม่สนุก เด็กจึงหลีกหนี อันนี้เห็นได้จากที่โรงเรียนส่วนใหญ่ต่างก็สรรหาหนังสือความรู้มาไว้ในห้องสมุด แต่เด็กๆไม่สนใจ ไม่อ่าน เพราะมันดูไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขา มันยากเกินไป ยาวเกินไป ตัวหนังสือเล็กเกินไป ฯลฯ ส่วนหนังสือที่เด็กๆส่วนใหญสนใจที่เราเรียกว่า “หนังสืออ่านเล่น” ผู้ใหญ่ก็มองว่าไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีความรู้ อ่านไปก็เสียเวลาเปล่า เด็กๆจึงขาดโอกาสซึมซับและพัฒนาความเพลิดเพลินจากการอ่าน

ประเด็นที่สอง :  ผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่เข้าใจว่าการอ่านเริ่มจากการ “ฟัง” (ครูหลายคนถูกผู้ประเมินตำหนิด้วยซ้ำว่าอ่านหนังสือแทนเด็ก) กล่าวคือ ผู้ใหญ่ต้องอ่านหนังสือให้พวกเขาฟังก่อน และอ่านให้ฟังมากๆตั้งแต่เล็กๆ(ระดับอนุบาลหรือก่อนอนุบาล)  ส่วนคนที่พอจะอ่านได้เช่นกลุ่มที่เรียนชั้นประถมต้นส่วนใหญ่ก็ยังอ่านไม่คล่อง การอ่านให้ฟังจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา ได้รับโอกาสเพลิดเพลินกับหนังสือ เกิดทัศนเชิงบวกต่อหนังสือ ได้รู้เห็นว่าหนังสือเป็นความเพลิดเพลิน พวกเขาจึงพร้อมจะเข้าไปสู่การอ่านด้วยตนเองในภายหลัง

ประเด็นที่สาม : ห้องสมุดที่สมาคมไทสร้างสรรค์สร้างร่วมกับชุมชนปิดไปแล้วมากกว่า ๒๐ แห่ง เพราะไม่มีเด็กเข้าไปใช้ ส่วนที่ยังอยู่มาได้ก็เพราะได้ทำงานกับบุคลากรที่นั่นมาพอสมควร พัฒนาแนวทางการจัดการหนังสือ ฝึกและสอนการจัดการกิจกรรมกระตุ้นการอ่านจนสามารถทำได้เอง ดังนั้นหากห้องสมุดล้มเหลวเพราะไม่มีคนใช้จึงไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเด็กๆ แต่อยู่ที่คนทำงานว่าได้ทำงานตามกระบวนการมากพอหรือยัง

ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งบอกว่า “ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเป็นนักบาสฯ และ จิมมี แฮนดริก ก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเล่นกีตาร์”  แต่พวกเขาถูกสร้างขึ้นด้วยแรงขับภายในที่ได้รับอิทธิพลในวัยเด็ก มันจึงไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังที่นักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งบอกว่า “การอ่านไม่มีอยู่ในดีเอนเอของมนุษย์” มันอยู่เหนือข้อกำหนดของดีเอนเอ มันเป็นสิ่งที่จะต้องสร้างขึ้น 

ดังที่กล่าวข้างต้นว่าวิธีการสร้างนักอ่านที่ได้ผลดีที่สุดคือนำเสนอความสุขจากการอ่านให้ฟัง  เมื่อเด็กๆเพลิดเพลินและชื่นชอบหนังสือมากพอ สมองของพวกเขาก็จะจดจำว่าหนังสือเป็นของสนุก ทั้งภาพ ภาษาและเรื่องราว  เมื่อการจดจำนี้มั่นคงแล้ว การอ่านทุกครั้งก็จะเป็นการตอบสนองความต้องการภายใน ทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และเป็นความสุข ซึ่งพวกเขาจะทำซ้ำๆไปเรื่อยๆ ดังผู้เชี่ยวชาญอีกท่านบอกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ความสุขเป็นศูนย์กลาง มนุษย์จึงเลือกทำแต่สิ่งที่ทำแล้วรู้สึกมีความสุข (แล้วแต่ว่าสมองของใครจะจดจำอะไรไว้ บางคนติดเกมส์เพราะถูกทำให้จำแบบนั้น บางคนติดกิน ฯลฯ) ความเป็นนักอ่านถาวรจึงเกิดขึ้น และเมื่ออ่านมากขึ้นทักษะการอ่านก็เพิ่มพูน ทักษะการอ่านเพิ่มพูนก็ยิ่งอ่านง่ายขึ้น แล้วพวกเขาก็จะอ่านมากขึ้นเป็นวงจรวนไป 

สรุป : เด็กๆที่ไม่ชอบอ่าน ไม่สนใจการอ่าน จึงเป็นผลจากเหตุหลายประการไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากเป็นเอง ตั้งแต่ไม่เคยมีใครอ่านให้ฟัง ทักษะการอ่านแย่ ทัศนะคติต่อการอ่านไม่ดี ได้รับการกระตุ้นส่งเสริมไม่เพียงพอ รวมทั้งผลของการทำงานที่ผิดพลาด ผิดทาง เช่นทำให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านเป็นภาระหรือเป็นงานอันเหนื่อยยากตั้งแต่เริ่มต้น

ผู้เขียนบทความ : ธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์